ไม่คิดมากจะดีกว่า....
ผมอยากเป็นผู้ชายที่ไม่ต้องคิดมาก....แต่ถ้าเป็นยังงั้น ผมคงได้กลายเป็นคนเจ้าชู้แน่ๆ
ผู้เข้าชมรวม
74
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในโลกนี้มีเรื่องตลกสองเรื่องที่พอจะทำให้ผมยิ้มได้ เรื่องแรก คือเรื่องของชายคนหนึ่งที่มักจะกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร เวลาตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง กับอีกเรื่องหนึ่ง ของชายอีกคนที่เอาแต่เสียใจ เมื่อตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปแล้ว
มันจะไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูฝืนๆ ถ้าชายทั้งสองคนที่กล่าวมานั้นไม่ใช่ตัวผม
ก่อนที่จะพล่ามยาวต่อไป ผมต้องขอโทษผู้ฟัง(นักอ่าน)ที่เคารพรักทุกท่านก่อนเลย เพราะจากนี้ไปอาจจะมีแต่เรื่องไร้สาระที่ออกมาจากหัวผม
อย่างที่ว่าไป ผมมักจะกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรเวลาตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง แถมเมื่อทำอะไรบางอย่างออกไปแล้ว ยังต้องมานั่งเสียใจอีก แต่ตอนนี้อาจจะเป็นกรณีพิเศษสักหน่อย เพราะผมทั้งกังวลและเสียใจเลยแหละ เพราะอะไรน่ะเหรอ?
อย่างแรกเลย ที่ผมกังวลอยู่เป็นเพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของผม ความสวยของเธออาจจะไม่ถึงขั้นอันตราย แต่ความน่ารักของเธอก็ทำผมโคม่าได้ทีเดียว เสื้อผ้า หน้าผม นมเอว จัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่โสดก็ไม่แปลก
เรื่องที่กังวลเกี่ยวกับเธอคนนี้คงจะเป็นการหาจุดโฟกัสของภาพ ผมจะมองเธอที่ตรงไหนดีนะ ไม่กล้าจ้องตาเลย แต่ถ้ามองต่ำลงมาหน่อยจะหาว่าเราโรคจิตที่มองหน้าอกไหมนะ หรือจะมองเท้าเธอดี ไม่ว่าอย่างไหนก็เสียมารยาททั้งนั้นเลย หรือควรจะหลับตาคุยดีนะ ไม่น่าเผลอปากทักเลย
ส่วนเรื่องที่ผมนั้นกำลังเสียใจที่ทำลงไปอยู่ คือการที่พลั้งปากเผลอทักเธอออกไป การที่เราส่งเสียงเรียกใครสักคนให้เขาหันมาแล้วตัวเองกลับเงียบเนี่ย มันก็เสียมารยาทน่าดูแล้ว นี่ยังไม่ยอมสบตากับคู่สนทนาอีก เสียมารยาทแบบยกกำลังเลย พาลทำให้นึกถึงเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหลายๆเรื่องเลย ตั้งแต่เรื่องที่ไม่น่าเช่าหนังมาดูเมื่อคืนจนนอนดึก ทำให้ตื่นสาย ตอนแปรงฟันก็งัวเงียเอาโฟมล้างหน้ามาใช้แทนยาสีฟัน ใส่ถุงเท้าสลับด้าน ตกรถบัสเที่ยวประจำ ลงรถผิดป้าย เอาแต่ก้มหน้ามองนาฬิกา ไม่สิ อย่างสุดท้ายน่าจะเป็น เงยหน้าจากนาฬิกามาเจอเธอพอดี
การพบพานที่มาไวราวกับจรวด แปลบปลาบราวแสงแฟลช อาจจะร้อนแรงแบบแสงตะวันก็ได้ เพราะมันทำให้ผมเหงื่อตก เธอที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมอยากจะเข้าไปพูดว่า “ถ้าลมไม่โบกให้ผมของคุณปลิวสยาย ผมคงจะนึกว่าคุณเป็นป้ายโฆษนา” แต่นั่นคงจะจบชีวิตของผมในทันทีที่เธอได้ยิน
ความประทับใจที่เกิดขึ้นกับผมนั้นก่อตัวอย่างช้าๆในจิตใจ แต่ถ้ามันก่อตัวในจิตใจ คงจะบอกว่าช้าๆไม่ได้ เพราะมันเต้นรัวมากๆ
เธอมีผมที่ยาวสลวย แต่มัดรวบไว้ด้วยริบบิ้นสีขาว สวมแว่นตากลมโตสีแดงสด และสวมชุดสบายๆ เสื้อยืดสีชาและกางเกงยีนสีน้ำเงินพับขา รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีม่วงตัดแดง แม้จะเป็นแฟชั่นที่ดูไม่กลมกลืน แต่ก็ดูแล้วบ่งบอกถึงความสดใส
เขาเรียกว่าความรักแบบ EMS ไหมนะ….จู่ๆก็โผล่มามาพร้อมกับบอกว่า “ช่วยเซ็นต์รับตรงนี้ด้วยครับพี่” แล้วก็ยื่นกล่องพัสดุให้แบบงงๆ
ที่จริงแล้ว ความรักมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอก แต่ที่ผมรู้สึกแย่ น่าจะเป็นเพราะผมนั้นไม่รู้จักความรัก….ความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวน่ะนะ
ความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ผมรู้จักนั้น เป็นแบบมุมมองของคนอื่นเสียทั้งนั้น เพราะงั้นผมจึงกล้าพูดได้เต็มปากว่าผมไม่รู้จักมัน เพียงแต่เคยได้ยินมาบ้าง
พยานที่หนึ่ง นายเอ(นามสมมตติ) ได้บอกว่า “ความรักนั้นน่ารำคาญ ต้องคอยตามใจ เอาใจใส่ดูแลอีกฝ่าย เหนื่อยจนเวลาพักแทบจะไม่มี” เขาพูดพร้อมกับอมยิ้ม
พยานที่สอง นางสาวบี(นามสมมตติ) ได้กล่าวไว้ “ความรักนั้นน่าเบื่อ ต้องคอยเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา เวลามีปัญหาก็แก้ยากเย็น แถมเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาก็สารพัดร้อยแปดพันเก้า” เธอพูดพลางหัวเราะ แก้มของเธอแดงระเรื่อ
และนอกจากนั้นยังมีความเห็นอื่นๆคล้ายๆกันอีกมาก แต่ทุกคนที่พูดมามักทำหน้าตรงข้ามกับคำพูด แท้จริงแล้วพวกเขาอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาว ปากอย่างใจอย่าง ปลอมตัวมาก็เป็นได้ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าดาวดวงนั้นมันอยู่ที่ไหน
เนื่องจากจะเริ่มต้นได้ไม่ดี มีแต่เรื่องซวยๆ ผมจึงหวังจะสร้างกำลังใจโดยการใส่เหตุการณ์ที่น่าจะก่อความสุขเข้าไปในกิจวัตรยามเช้าก่อนเริ่มงาน แต่วันนี้มันคงแย่สำหรับผมจริงๆนั่นแหละ ที่จริง ผมอาจจะเตรียมตัวมาไม่พร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ชวนให้ใจกระตุกแบบนี้ก็ได้
เหมือนเคยได้ยินประโยคที่ว่า วัยรุ่นนั้นมักจะพร้อมที่มีความรัก มันคงใช้กับผมไม่ได้จริงๆ เพราะผมได้ผ่านวัยนั้นมาแล้ว ทำไมไม่มีใครบอกผมเลยนะว่าความพร้อมที่จะมีรักนั้นมันมีวันหมดอายุด้วย หรือว่าผมเผลอใช้ความพร้อมที่มันหมดอายุนั่นไปกับเธอเสียแล้วนะ….
ผมแอบสำรวจท่าทีของเธอเล็กน้อย โอ้โห….เป็นผู้หญิงที่มารยาทงามมาก ขนาดผมเสียมารยาทที่เรียกเธอแล้วเงียบแบบนี้ เธอยังยืนรอให้ผมพูดต่อ รอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอราวกับจะบอกว่า “พยายามเข้านะคะ ฉันจะรอฟัง” ทำเอาผมเจ็บแปลบ ไม่ได้การแล้ว ผมคงต้องใช้ความพร้อมของวัยรุ่นที่หมดอายุนี่ทำอะไรสักอย่างแล้วสิ….จะเป็นชื่อหรืออะไรก็ได้ ลุยเลย!
“คือ….พอดีผมกำลังตามหาสำนักพิมพ์นี้อยู่น่ะครับ พอดีไปทำงานวันแรก เลยหลงทางน่ะครับ….”
คงจะมีชายหนุ่มไม่กี่คนที่สามารถถามชื่อของหญิงสาวได้โดยตรง แม้จะไม่เคยพบหน้า หรือแอบสืบข้อมูลเธอมาก่อน ผมคิดแบบนี้จริงๆนะ ไม่ได้ปลอบใจตัวเองด้วย บอกไว้ก่อน
ที่จริง การสร้างความสนิทสนม หรือทำให้เธอมีบุญคุณกับเรา เพื่อที่เราจะถามชื่อก็เป็นแผนที่ไม่เลวเท่าไหร่นักนี่นา หัวเราะเข้าไป พ่อหนุ่ม!
“อ๋อ….เอ่อ ถ้าเป็นสำนักพิมพ์นี้ก็….เดินไปอีกสักสามร้อยเมตรแล้วก็เลี้ยวซ้ายค่ะ จะอยู่ทางขวามือ อีกฟากของถนน แต่ถ้ากลัวหลงให้สังเกตอาคารสีขาวนะคะ เด่นมากๆเลย”
แถมยังตอบได้อย่างงดงามไม่มีท่าทีรังเกียจหรือกระอักกระอวนเลย เธอช่างเป็นคนดีอะไรแบบนี้ ความรักและความประทับใจของผมในตัวเธอคงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์กันแล้วล่ะ แต่เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว เพราะงั้นพ่อหนุ่ม ถามชื่อเธอเลย!
“เอ่อ….ถ้างั้น….ผมขอถามอะไรอีกอย่างนึงได้มั้ยครับ….”
ชื่อไงล่ะ พ่อหนุ่ม ชื่อของเธอ!
“คะ?”
“คือ….เอ่อ….คุณ….”
ขวาตรง!
“พอจะรู้ไหมครับว่าแถวนี้จะหาอาหารเช้าทานได้ที่ไหน?”
ชกลม!? ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย เสียชาติชาย อายแทนพ่อ ล่อจนถึงบรรพบุรุษเลย!
ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงไม่มีสอนในตำราเรียนนะ….หรือเจ้าพวกที่ฉลาดๆมันเห็นว่าเรื่องทำความรู้จัก หรืออยากสนิทสนมกับใครต่อใครเนี่ยมันง่ายดายจนคนที่ทำไม่ได้ไม่น่าจะมีอยู่ในโลกกัน? ขอโทษ! ตอนนี้มีอยู่ตรงนี้คนนึงแหละ
“เอ….ร้านอาหารคงไม่มีหรอกค่ะ ต้องเลยไปจนถึงแยกไฟแดงโน่นแน่ะ แต่ถ้าร้านสะดวกซื้อก็พอจะมีพวกขนมปังให้ซื้ออยู่นะคะ ตรงข้ามกับที่ๆคุณจะไปเลย”
โห เจ็บจี๊ด ผมที่พยายามตั้งคำถามเธอโดยมีความรู้สึกแอบแฝงถึงกับเจ็บจี๊ดเพราะความจริงใจและรอยยิ้มไมตรีจิตของเธอ
“อา….ครับ….”
หมดหนทาง หมดมุข หมดกำลัง หมดปัญหา หมดหวัง หมดกัน….ความพร้อมของวัยรุ่นที่ขึ้นรามันไม่สามารถใช้ได้จริงๆ เหมือนกับเครื่องยนต์เก่าๆที่ทำได้แต่ติดเครื่อง แต่ไม่มีกำลังพอจะขับเคลื่อนไปข้างหน้า ชีวิตของผมมันคงทำได้แค่จอดเฉยๆติดเครื่องผลาญพลังงานไปวันๆซะแล้ว….
ผมที่จนปัญญาได้แต่ยืนคอตกมองเธอเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
คงจะเคยได้ยินประโยคที่พูดถึงเปลวเทียนเฮือกสุดท้ายกันอยู่นะครับ? เขาบอกว่า มันจะเป็นเปลวเทียนที่ร้อนแรงที่สุด ก่อนที่มันจะดับลงไป ความรู้สึกในใจผมตอนนี้ จะเรียกว่าเฮือกสุดท้ายแบบนั้นก็ได้
“คือ….ผม....คือ….”
ที่จริง ผมก็ไม่มีอะไรให้อยู่แล้วนี่นา….เพราะงั้น ประโยคที่ผมจะพูดต่อไปนี้….มันคงไม่มีผลต่อความรู้สึกต่อไปนี้สักเท่าไหร่ พอใจเย็นลงแล้ว มันก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนี่นา การจะถามชื่อใครสักคนเนี่ย….
“คือผมอยากจะ….”
“…..อยากจะขอบคุณเหรอ….ก็ไม่ได้มีผลกับความรู้สึกเท่าไหร่….ซะที่ไหนเล่า!!”
ก็อย่างที่ว่ามา ผมนั้น ไม่เคยรู้จักความรักเลย ทั้งที่โอกาสก็มี แต่กลับพลาดโอกาสนั้นไปโดยง่าย และยังคงต้องศึกษาจากคนอื่นๆต่อไป
เรื่องของผมอาจจะกลายเป็นเรื่องขบขันในกลุ่มเพื่อนก็ได้ ชายที่ลังเลจนไม่กล้าทำอะไร และเสียใจเมื่องลงมือทำไปแล้ว เหมือนกับปัญหาโลกแตกที่ว่า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน ผมที่ลังเลเพราะกลัวเสียใจที่จะทำ หรือกลัวเสียใจที่จะทำจึงลังเล ไม่ว่าจะวางอะไรไว้ก่อนหน้า อย่างที่ตามมาก็จะเป็นปัญหาอย่ดี
ความรักหนอความรัก ก่อตัวไม่ยาก ยากที่จะสานต่อ แม้นจักรอให้เริ่มต้น แต่ก็ด้นต่อไม่ได้ มันคงจะดีกว่านี้ หากเธอเป็นฝ่ายที่เข้ามาทักผมก่อน แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ความประทับใจของผมที่มีต่อเธออาจจะน้อยลงกว่านี้ก็ได้….แค่นิดหน่อยนะ….
ผลงานอื่นๆ ของ Et-Cetera ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Et-Cetera
ความคิดเห็น